สถานการณ์ป่าไม้ในประเทศไทยตลอดระยะเวลาที่ผ่าน ทำให้เห็นว่าการเปลี่ยนแปลงด้านกฎหมายป่าไม้และพื้นที่ชุมชนมีความทับซ้อนของปัญหาหลายประการ ข้อจำกัดและข้อกังวลเองจึงทำให้การบริหารจัดการพื้นที่ป่าไม้ไม่มีประสิทธิภาพมากพอ ร้ายแรงกว่านั้น ชุมชนกลับไม่สามารถเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องในการกำหนดนโยบาย และยังมีพื้นที่อีกจำนวนมากที่ยังไม่ได้รับรองสิทธิในการจัดการพื้นที่ป่า
งานสมัชชาป่าไม้ภาคพลเมือง ปี 2566 วันที่ 15-16 กันยายน ณ โรงแรมไมด้า ดอนเมือง แอร์พอร์ต จัดขึ้นโดย ศูนย์วนศาสตร์ชุมชนเพื่อคนกับป่า ประเทศไทย (RECOFTC Thailand) และเครือข่ายป่าไม้ภาคพลเมือง (CF-NET) ภายใต้การสนับสนุนจากกองทุนรวมธรรมาภิบาลไทย (THAI CG Fund) มีวัตถุประสงค์เพิ่มศักยภาพการจัดการพื้นที่ป่าและความเข้าใจเกี่ยวกับกฎหมายป่าไม้และสิทธิชุมชนในการบริหารจัดการพื้นที่ นำมาสู่การบูรณาการสอดคล้องกับฐานภูมิปัญญาท้องถิ่น คืนสิทธิชุมชนให้เข้ามามีส่วนร่วมตลอดกระบวนการ ทำให้ “ภูมิทัศน์ป่าไม้” เกิดขึ้นจริงในอนาคต
ภายในงานมีข้อเสนอและเรียกร้องต่อคณะรัฐบาลทั้งหมด 9 ประการ ได้แก่
- การออกอนุบัญญัติ ม.64,ม.65 ในการรับรองสิทธิและบังคับใช้กฎหมายต่อการบริหารจัดการพื้นที่ป่าชุมชน และรัฐควรมีมาตรการป้องกันปกป้องป่าไม่ให้เกิดการรุกล้ำเพิ่ม ตลอดจนอนุมัติอำนาจแก่เจ้าหน้าที่ในพื้นที่ทำงานร่วมกับชุมชน เพื่อลดข้อจำกัดความล่าช้าและการขาดความเข้าใจบริบทพื้นที่
- พื้นที่ คทช. มีมากถึง 12.5 ล้านไร่ ควรกำหนดความชัดเจนความสามารถการดำเนินการและกำหนดระยะเวลาการดำเนินการ รวมถึงยกเลิกระเบียบหรือเงื่อนไขที่หยุมหยิม อันก่อภาระต่อเจ้าหน้าที่และชุมชน
- ควรปรับปรุงให้กฎหมายป่าชุมชนนั้นเป็นกฎหมายที่อยู่บนฐานสิทธิชุมชน ชุมชนเข้าไปมีส่วนร่วมในการการออกกฎหมาย และควรปรับปรุงกฎหมายให้กฎหมายแม่และกฎหมายลูกสอดคล้องร่วมกัน
- ควรมีการปรับปรุงกฎหมายทางทะเล เช่น การห้ามเรือประมงขนาดเล็กใช้เครื่องมือจับสัตว์น้ำหลายประเภท และควรยกเลิกโครงการก่อสร้างที่จะไปทำลายระบบนิเวศทางชายฝั่ง แก้ไขพรบ.อุทยานทางทะเล ม.65 ที่มีการกำหนดขอบเขตการเก็บหาไม่สอดคล้องกับบริบทพื้นที่
- ควรจัดทำนโยบายการจัดทำป่าชุมชนในพื้นที่ป่าชายเลน ให้ได้รับการรับรองอย่างถูกกฎหมายและได้รับสิทธิประโยชน์อย่างเหมาะสม
- รัฐควรสร้างความเข้าใจโครงการสร้างคาร์บอนเครดิตที่เข้าไปทำลายความหลากหลายทางชีวภาพและการฟอกเขียวของธุรกิจ และกำกับภาคธุรกิจที่มุ่งลดคาร์บอนโดยใช้พื้นที่และแรงงานจากชุมชน โดยที่ตนเองยังคงสร้างคาร์บอนอยู่ รวมถึงความเป็นธรรมในเรื่องผลประโยชน์ต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย
- รัฐควรมีการจัดสรรงบประมาณมากพอต่อแผนการจัดการป่าชุมชน อาทิ กองทุนในการสนับสนุนให้สามารถดำเนินการตามแผนได้ พร้อมทั้งทำให้การบริหารจัดการงบประมาณโปร่งใสและตรวจสอบได้
- มุ่งเน้นการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากจากทรัพยากรท้องถิ่นและความหลากหลายทางชีวภาพโดยนำเทคโนโลยีมาใช้ และยกระดับวิสาหกิจชุมชน
- ควรมุ่งเน้นการให้ความรู้และพัฒนาศักยภาพแก่บุคคลากรทั้งภาครัฐ คณะกรรมการป่าชุมชนทั้งระดับจังหวัด ระดับชุมชน
- รัฐสร้างความร่วมมือและเชื่อมโยงเครือข่ายภาคประชาชน ภาคประชาสังคม เพื่อลดภาระการทำงานของรัฐ พร้อมเพิ่มกลไกความร่วมกันระหว่างกัน
ทั้งนี้ เครือข่ายป่าไม้ภาคพลเมือง ร่วมกับ ศูนย์วนศาสตร์ชุมชนเพื่อคนกับป่า ประเทศไทย คาดหวังว่า การจัดการป่าชุมชนภายใต้การนำรัฐบาลของนายกรัฐมนตรี เศรษฐา ทวีสิน จะสามารถสร้างมิติการจัดการพื้นที่ป่าไม้ สร้างความเป็นธรรมต่อพี่น้องประชาชน คืนสิทธิชุมชนเข้ามามีบทบาทร่วมขับเคลื่อนการทำงานเชิงเครือข่ายทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม บนฐานแนวคิดธรรมาภิบาลป่าไม้สู่ความยั่งยืน