ที่มา: RECOFTC
เมื่อพูดถึงสถานการณ์สิ่งแวดล้อมในปัจจุบันทุกคนคงรับรู้ร่วมกันว่าปัญหาสิ่งแวดล้อมเป็นหนึ่งในปัญหาใหญ่ของทั่วโลกที่ต้องเร่งแก้ไขอย่างเร่งด่วนที่สุด แต่จะมีสักกี่คนที่เล็งเห็นว่าสิ่งแวดล้อมไม่ได้หมายถึงแค่เพียงระบบนิเวศน์ทางธรรมชาติเพียงเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงมิติทางสังคม วัฒนธรรม และเศรษฐกิจของชุมชนอีกด้วย ดังนั้นกำลังหลักในการพิทักษ์สิ่งแวดล้อมจึงไม่ใช่แค่ภาครัฐหรือองค์กรเพียงอย่างเดียว แต่ยังมีชุมชนที่มีความสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมในพื้นที่อย่างลึกซึ้งด้วยเช่นกัน
ด้วยเหตุนี้ RECOFT หรือ Regional Community Forestry Training Center (Asia & the Pacific) จึงเล็งเห็นความสำคัญของชุมชนต่อการบริหารจัดการป่าไม้ และเริ่มดำเนินงานมาร่วมกับองค์กรภาคีต่าง ๆ ในนามของเครือข่ายป่าไม้ภาคพลเมือง ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2561 โดยมีภารกิจหลักของการทำงานคือการส่งเสริมธรรมาภิบาลในการจัดการป่าไม้ โดยมุ่งเน้นให้ภาคประชาสังคมและองค์กรชุมชนที่ทำงานด้านป่าชุมชนนั้นสามารถเข้าไปมีส่วนร่วมในกลไกทางด้านกฎหมายและนโยบายที่สำคัญในเรื่องป่าไม้ รวมถึงการเสริมศักยภาพของเครือข่ายด้วยการสร้างเครื่องมือในการจัดทำฐานข้อมูลป่าชุมชน ผ่านโครงการที่มีชื่อว่า โครงการยกระดับคุณภาพป่าชุมชนเพื่อระบบนิเวศที่สมบูรณ์ การสร้างความมั่นคงของชีวิตและการบริหารจัดการที่มีธรรมาภิบาล ครอบคลุมพื้นที่ใน 38 จังหวัด 5 ภูมิภาคทั่วประเทศ
ในปัจจุบัน ประเทศไทยมีพื้นที่ป่าไม้รวมอยู่ที่ราว ๆ 102 ล้านไร่ หรือคิดเป็นประมาณ 32% ของพื้นที่ประเทศ โดยการดูแลจัดการป่าไม้ของไทยนั้นมีหลายหน่วยงานภาครัฐที่ร่วมกันดูแล รวมถึงการทํางานของชุมชน และประชาชนในภาคส่วนต่าง ๆ ก็สามารถทําความเข้าใจเกี่ยวกับการจัดการป่าไม้ประเภทต่าง ๆ และบทบาทของประชาชนหรือชุมชนในการจัดการป่าได้
อย่างไรก็ดี ภายในระยะเวลา 20 ปี ตั้งแต่ปี 2543 - 2563 สัดส่วนพื้นที่ป่าไม้ในประเทศไทยมีอัตราการลดลงถึง 198,287.64 ไร่ต่อปี ซึ่งเป็นจำนวนที่ใหญ่กว่าพื้นที่ของสนามบินสุวรรณภูมิถึง 9 เท่า (1 สนามบินสุวรรณภูมิ มีพื้นที่ 22,000 ไร่) นั่นหมายความว่าระยะเวลาเพียง 20 ปี มีพื้นที่ป่าไม้หายไปใหญ่พอ ๆ กับจังหวัดสักจังหวัดหนึ่ง
นอกจากปัญหาเรื่องพื้นที่ป่าไม้ที่หายไปแล้ว ยังมีปัญหาด้านวิถีชีวิตที่มาจากความทับซ้อนระหว่างกฎหมายป่าอนุรักษ์และพื้นที่ทำกินของคนท้องถิ่น ปัจจุบันประเทศไทยมีพื้นที่ป่าชุมชนที่ขึ้นทะเบียนเป็นป่าชุมชนกับกรมป่าไม้ไว้แล้วจำนวนมากกว่า 6 ล้านไร่ หรือคิดเป็นประมาณ 6% ของป่าที่คงเหลืออยู่ แต่นอกเหนือจากป่าที่มีการขึ้นทะเบียนแล้ว ยังมีป่าที่ชุมชนจัดการด้วยตนเองกระจายอยู่ในป่าและที่ดินประเภทต่าง ๆ เช่น ป่าชุมชนในพื้นที่อนุรักษ์ ป่าในวัด ป่าหัวไร่ปลายนา ซึ่งผืนป่าเหล่านี้มีความสำคัญอย่างยิ่งในการทำหน้าที่เป็น Buffer Zone ให้แก่พื้นที่ป่าอนุรักษ์ที่มีความอ่อนไหวทางระบบนิเวศและความหลากหลายทางชีวภาพ
ป่าชุมชนที่ว่ามานี้ยังสามารถทำหน้าที่มากกว่าการเป็นป่าอนุรักษ์ สำหรับชาวบ้านในท้องถิ่น ป่าคือแหล่งอาหาร แหล่งสร้างรายได้ และแหล่งของวัฒนธรรมประเพณี รวมถึงเป็นสวัสดิการให้แก่ผู้ด้อยโอกาสในชุมชน
ดังนั้นความหวังที่จะสร้างภูมิทัศน์ป่าไม้ที่ยั่งยืนได้ จำเป็นต้องใช้หลักคิด “การจัดการป่าไม้ด้วยธรรมาภิบาลป่าชุมชน” ซึ่งเป็นการนำเอาหลักธรรมาภิบาลเข้ามาใช้ในการสร้างความยั่งยืนให้ป่าไม้ นอกจากในเรื่องของหลักการแล้ว ในส่วนของการวางแผนการทำงาน ธรรมาภิบาลชุมชนก็เป็นหนึ่งใน “บันได 5 ขั้น สู่ป่าแห่งอนาคต” ซึ่งประกอบด้วย
จะเห็นได้ว่า ก่อนที่เราจะสามารถก้าวไปถึงหมุดหมายสูงสุดในเรื่องการเพิ่มจำนวนพื้นที่ป่าไม้และการจัดการป่าไม้อย่างยั่งยืนได้ การทำงานของผู้เกี่ยวข้องจำเป็นต้องเริ่มก้าวแรกอย่างถูกต้องด้วยการนำหลักธรรมาภิบาลเข้ามาใช้ในการบริหารจัดการป่าให้เกิดความยั่งยืน ให้มีความโปร่งใส มีองค์ความรู้ด้านการจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้งยังต้องมีการดึงชุมชนเข้ามามีส่วนร่วมในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติในระดับท้องถิ่น ให้คนท้องถิ่นสามารถออกแบบและกำหนดกติกาการจัดการที่เหมาะสมได้ตามความจำเป็นของชุมชน จนนำไปสู่ผลประโยชน์ในมิติสังคมและเศรษฐกิจของชุมชน
ชุมชนตำบลแม่ทา อำเภอแม่ออน จังหวัดเชียงใหม่ ประสบความสำเร็จในการฟื้นฟูป่าที่ถูกทำลายมาจากการสัมปทานป่าไม้ในอดีตจนทำให้ชุมชนประสบปัญหาคลาดแคลนน้ำที่มาจากป่าต้นน้ำ ต่อมาชุมชนจึงรวมตัวกันประกาศจัดตั้งพื้นที่ป่าชุมชนและทำการฟื้นฟูและจัดการป่าในพื้นที่มากกว่า 70,000 ไร่ โดยมีระบบการทำฐานข้อมูลของต้นไม้และที่ดินด้วยระบบเทคโนโลยีภูมิสารสนเทศ จนกลายเป็นป่าชุมชนต้นแบบของประเทศ มีระบบการจัดการที่เข้มแข็ง และสร้างประโยชน์ให้แก่ชุมชนทั้งในแง่ของรายได้ ไม้ใช้สอย และการเป็นแหล่งน้ำเพื่อการเกษตรและการบริโภคมาอย่างต่อเนื่อง
หากถอดบทเรียนจากชุมชนตำบลแม่ทา อำเภอแม่ออน จังหวัดเชียงใหม่ จะพบว่าการบริหารที่มีประสิทธิภาพมาจาก 3 องค์ประกอบหลัก ได้แก่
ที่มา: RECOFTC
โครงการยกระดับคุณภาพป่าชุมชนเพื่อระบบนิเวศที่สมบูรณ์ การสร้างความมั่นคงของชีวิตและการบริหารจัดการที่มีธรรมาภิบาล กำหนดยุทธศาสตร์ในการแก้ปัญหาป่าไม้ไว้ 3 รูปแบบ คือ
1.การยกระดับคุณภาพการจัดการป่าชุมชน เพื่อเสริมสร้างผลผลิตและบริการทางนิเวศของป่าชุมชน รวมถึงระบบการแบ่งปันประโยชน์ของป่าชุมชนเพื่อการส่งเสริมสวัสดิการชุมชน
2.การขยายพื้นที่ของการมีส่วนร่วมต่อกระบวนการบริหารจัดการป่าชุมชนในระดับจังหวัด
3.การขยายฐานข้อมูลป่าชุมชนและระบบการติดตามประเมินผลป่าชุมชน เพื่อส่งเสริมความโปร่งใสและการเข้าถึงข้อมูล
RECOFTC ยังมีการทำงานร่วมกับชุมชนในการแก้ปัญหาด้านป่าไม้อยู่ตลอด ไม่ว่าจะเป็นการจัดเวทีสมัชชาป่าไม้ภาคพลเมือง ปี 2566 วันที่ 14-15 กันยายน ที่ผ่านมา และยังมีกิจกรรมอื่น ๆ รออยู่อีกมากมาย
ติดตามความเคลื่อนไหวของโครงการได้ที่
Facebook: RECOFTCThailand - ศูนย์วนศาสตร์ชุมชนเพื่อคนกับป่า ประเทศไทย
Website: RECOFTC Thailand